คณะวิชาช่างไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์  วิทยาลัยเทคนิคสิงห์บุรี แห่งที่ 1

     

 

การสร้างวงจรบนแผ่นเวเฟอร์ (Wafer Fabrication)

บทนํา

                  หลังจากที่ได้แผ่นเวเฟอร์จากกระบวนการเตรียมแผ่นเวเฟอร์ (Wafer Preparation)แล้ว ในขั้นตอนต่อไปจะเป็นกระบวนการในการสร้างวงจรรวมลงบนแผ่นเวเฟอร์ (WaferFabrication) ซึ่งเป็นกระบวนการที่ มีขั้นตอนมาก ถ้าเป็นวงจรรวมที่มีความซับซ้อนมากเช่นไมโครโปรเซสเซอร์ จะมีขั้นตอนในการสร้างมากกว่า 350 ขั้นตอน ใช้เวลาประมาณ 6 ถึง 8 สัปดาห์ ถึงจะสามารถสร้างชั้นของสารกึ่งตัวนําลงบนแผ่นเวเฟอร์ได้ตามที่ต้องการ

รูปที่ 1 แสดงโครงสร้างของอุปกรณ์สารกึ่งตัวนําแบบมอส
(Metal Oxide Semiconductor : MOS)

                  จากรูปที่ 1 เป็นโครงสร้างทางกายภาพ (Physical Structure) ของอุปกรณ์สารกึ่งตัวนําแบบมอสเพียงตัวเดียว จะเห็นว่าประกอบด้วยชั้นของซิลิกอนซับสเตรท (Silicon Substrate)ส่วนของสารกึ่งตัวนําที่เป็นซอร์ส (Source) เกต (Gate) และ เดรน (Drain) นอกจากนี้ยังมีส่วนที่เป็นชั้นของออกไซด์ (Oxide) และส่วนของโลหะ (Metal) ที่ทําหน้าที่เป็นตัวนําต่อระหว่างชิ้นของสารกึ่งตัวนําไปยังส่วนอื่น ๆ เช่นต่อไปยังวงจรส่วนอื่น ซึ่งกระบวนการในการสร้างชั้นของสารกึ่งตัวนําและชั้นของโลหะจะได้กล่าวโดยละเอียดต่อไป

กระบวนการในการสร้างวงจรรวมบนแผ่นเวเฟอร์ (Wafer Fabrication)

                  ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่ากระบวนการในการสร้างวงจรรวมลงบนแผ่นเวเฟอร์มีขั้นตอนที่ยุ่งยากและซับซ้อนมาก เพื่อให้เข้าใจได้โดยง่ายในที่นี้จะขอยกตัวอย่างกระบวนการในการสร้างทรานซิสเตอร์ชนิดมอส (MOS Transistor) เพียงตัวเดียวซึ่งกระบวนการดังกล่าวก็มีขั้นตอนครอบคลุมเช่นเดียวกับการสร้างวงจรรวมที่มีความหนาแน่นของอุปกรณ์มาก ๆ ซึ่งประกอบด้วยขั้นตอนดังต่อไปนี้

1. การเตรียมแผ่นซิลิกอนซับสเตรท (Silicon Substrate)

                  แผ่นซิลิกอนซับสเตรทในที่นี้ก็คือแผ่นเวเฟอร์ที่ผ่านกระบวนการเตรียมแผ่นมาแล้วเป็นแผ่นซิลิกอนที่มีความเรียบและมีความมันวาวสูงเพื่อใช้เป็นฐานของการสร้างอุปกรณ์สารกึ่งตัวนําลงบนซับสเตรทนี้

struc1-2.gif

รูปที่ 2 แสดงแผ่นซิลิกอนซับเสตรท

                  จากรูปที่   2  เป็นแผ่นซิลิกอนที่ทําหน้าที่เป็นฐานของวงจรรวม  มีหน้าที่เช่นเดียวกับฐานรากของอาคารนั่นเองขนาดของซับสเตรทนี้มีขนาดความหนาประมาณ 1 มิลลิเมตร มีความกว้างประมาณ 5 ไมครอน (0.000005 เมตร) อัตราส่วนของรูปที่นําเสนอจะไม่เป็นไปตามอัตราส่วนจริง แต่เพื่อให้ง่ายต่อการทําความเข้าใจรูปที่นําเสนอจึงเสมือนว่ าขนาดของความกว้าง และ ความยาว มีอัตราส่วนใกล้เคียงกัน

2. กระบวนการออกซิเดชั่น (Oxidation)

                   เป็นกระบวนการในการสร้างชั้นออกไซด์ลงบนแผ่นซับสเตรท (A Layer of Silicon Oxide) ซึ่งวิธีการในการสร้างชั้นออกไซด์ดังกล่าว เป็นวิธีการคล้ายกับการเกิดสนิม (Rusting) ที่ผิวของเหล็ก คือเมื่อเหล็กกระทบถูกออกซิเจนหรือนํ้าก็จะทําให้เกิดสนิมได้ การสร้างออกไซด์บนแผ่นเวเฟอร์ที่เรียกว่ากระบวนการออกซิเดชั่นนี้เป็นกระบวนการในการสร้างชั้นซิลิกอนไดออกไซด์ ขึ้นบนผิวของแผ่นเวเฟอร์เพื่อใช้ป้องกันไม่ให้สารเจือแพร่เข้าไปในบริเวณที่ไม่ต้องการขณะที่ทํากระบวนการโดป (Doping) (การแพร่สารเจือเพื่อสร้างชิ้นสารกึ่งตัวนํ าพี-เอ็น) โดยการนําแผ่นเวเฟอร์ใส่เข้าไปในท่อควอทซ์ (Quartz Tube) และใส่เข้าไปในเตาความร้อนที่มีอุณหภูมิประมาณ 1000-1200 องศาเซลเซียส มีออกซิเจนและไอนํ้าฉีดพ่นเข้าไปในเตา ซิลิกอนจะทําปฏิกิริยากับออกซิเจนกลายเป็นซิลิกอนไดออกไซด์ (SiO2) ปกคลุมผิวของแผ่นเวเฟอร์ ซึ่งซิลิกอนไดออกไซด์นี้จะมีคุณสมบัติเป็นฉนวนลักษณะโปร่งใส

struc1-3.gif

struc1-4.gif

(ข)

รูปที่ 3 (ก),(ข) แสดงเตา (Furnace) ที่ใช้ในการสร้างชั้นซิลิกอนไดออกไซด์

struc1-5.gif

(ค)

struc1-6.gif

   (ง)

                                    รูปที่ 3 (ต่อ) (ค) แสดงเตา (Furnace) ที่ใช้ในการสร้างชั้นซิลิกอนไดออกไซด์
                                                       (ง) แสดงชั้นออกไซด์ที่ผิวหน้าของแผ่นซับสเตรท

การสร้างซิลิกอนไดออกไซด์สามารถทําได้โดยวิธีการดังนี้

                 1. การออกซิเดชั่นแบบแห้ง (Dry Oxidation)

                         เป็นปฏิกิริยาที่เกิดขี้นระหว่างอะตอมของแก๊สออกซิเจนที่บริสุทธิ์ กับอะตอมของซิลิกอนที่อุณหภู มิสูงประมาณ 1100° C อะตอมของซิลิกอนจะรวมตัวกับอะตอมของออกซิเจนจนเกิดเป็นซิลิกอนไดออกไซด์ อุปกรณ์ที่ใช้ในการออกซิเดชั่นแบบนี้แสดงดังรูปที่ 4 รูปที่ 4 แสดงอุปกรณ์ที่ใช้ในการทําออกซิเดชั่นแบบแห้ง (Dry Oxidation)ซิลิกอนไดออกไซด์ ที่ได้จากวิธีการนี้จะมีคุณสมบัติเป็นฉนวนที่ดีสํ าหรับความหนาของชั้น SiO2 นี้สามารถพิจารณาได้จากกราฟรูปที่ 5

struc1-7.gif

รูปที่ 5 กราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างเวลา อุณหภูมิ และความหนาของชั้นซิลิกอนไดออกไซด์

                  จากกราฟรูปที่ 5 ความหนาของชั้นออกไซด์จะสามารถควบคุมไดยโดยการควบคุมอุณหภูมิและเวลาที่ใช้ในการออกซิเดชั่น

                     2. การออกซิเดชั่นแบบชื้น (Wet Oxidation)

                             เป็นปฏิกิริยาระหว่างอะตอมของซิลิกอนและอะตอมของออกซิเจนในไอนํ้าโดยการปล่อยแก๊สออกซิเจนที่บริสุทธิ์เข้าไปในขวดแก้วที่บรรจุนํ้าบริสุทธิ์ไว้ นํ้าในขวดแก้วจะถูกทําให้ร้อนที่อุณหภูมิประมาณ 90 –95° C แก๊สออกซิเจนซึ่งอิ่มตัวและมีไอนํ้าอยู่ด้วยจะถูกทําให้ไหลผ่านเข้าไปในท่อควอทซ์ที่มีแผ่นเวเฟอร์วางอยู่ ทําให้อะตอมของออกซิเจนรวมตัวกับอะตอมของซิลิกอนจนเกิดเป็นซิลิกอนไดออกไซด์ ดังรูปที่ 6

struc1-8.gif

รูปที่ 6 แสดงอุปกรณ์ที่ใช้ในการทําออกซิเดชั่นแบบชื้น (Wet Oxidation)

                    สําหรับความหนาของชั้นซิลิกอนไดออกไซด์ที่ได้จากการออกซิเดชั่นแบบชื้นจะสัมพันธ์กับเวลาและอุณหภูมที่ใช้ดังแสดงในกราฟรูปที่ 7

struc1-9.gif

รูปที่ 7 กราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างเวลา อุณหภูมิ
และความหนาของชั้นซิลิกอนไดออกไซด์

                    การหาความหนาของชั้นออกไซด์นอกจากจะพิจารณาจากกราฟรูปที่ 5 และรูปที่7 แล้ว ยังสามารถบอกความหนาของชั้นออกไซด์ได้โดยการดูสีของชั้นออกไซด์จากการสะท้อนแสงฟลูออเรสเซนต์ตรง ๆ ซึ่งแสดงดังตารางที่ 1

struc1-10.gif

ตารางที่ 1 แสดงสีของชั้นซิลิกอนไดออกไซด์ที่มีความหนาต่าง ๆ กัน

                     3. กระบวนการโฟโตลิโทกราฟี (Photolithography)

                         เป็นกระบวนการที่เริ่มต้นจากการเคลือบสารไวแสง (Photoresist) ลงบนชั้นของซิลิกอนไดออกไซด์ทั่วทั้งแผ่น โดยใช้วิธีการในการปล่อยนํ้ายาไวแสงลงบนแผ่นเวเฟอร์จากนั้นทําการหมุนแผ่นเวเฟอร์เพื่อเกลี่ยให้นํ้ายาไวแสงคลุมพื้นที่ทั่วแผ่นดังแสดงในรูปที่ 8

struc1-11.gif

รูปที่ 8 แสดงการเคลือบนํ้ายาไวแสงลงบนแผ่นเวเฟอร์

                            สารไวแสงหรือนํ้ายาไวแสงนี้จะเปลี่ยนคุณสมบัติทางเคมีถ้าถูกแสง นํ้ายาไวแสงดังกล่าวมีทั้งชนิดบวกและชนิดลบ นําแผ่นที่เคลือบสารไวแสงไปอบ(Cure)ในเตาอบที่ มีอุณหภูมิประมาณ 100 °C เพื่อทําให้นํ้ายาไวแสงยึดติดกับผิวหน้าของชั้นซิลิกอนไดออกไซด์ได้ดียิ่งขึ้น จะได้แผ่นเวเฟอร์ที่มีชั้นของสารไวแสงเคลือบอยู่ ดังรูปที่ 9 หลังจากนั้นจะนําไปฉายด้วยแสงอัลตราไวโอเล็ต ผ่านโฟโตมาส์ค (Photo Mask) ไปตกกระทบบนแผ่นเวเฟอร์เพื่อให้เกิดรูปแบบที่ต้องการบนแผ่นเวเฟอร์นี้ ดังรูปที่ 10 และ 11

struc1-12.gif

รูปที่ 9 แสดงการเคลือบผิวหน้าด้วยนํ้ายาไวแสง (Photoresist)

struc1-13.gif

struc1-14.gif

รูปที่ 10 แสดงการฉายแสงอัลตราไวโอเลตผ่านโฟโตมาส์ค

struc1-15.gif

รูปที่ 11 แสดงการฉายแสงอัลตราไวโอเลตผ่านโฟโตมาส์คครั้งละหลายรูป

struc1-16.gif

รูปที่ 12 แสดงโฟโตมาส์คที่ใช้ในการสร้างวงจรรวมแต่ละเลเยอร์

struc1-17.gif

รูปที่ 13 แสดงโฟโตมาส์คที่ใช้ในการสร้างวงจรรวม

struc1-18.gif

                                รูปที่ 14 แสดงส่วนที่ถูกแสง (Exposed Area) และส่วนไม่ถูกแสง (Unexposed Area)
                                            อัลตราไวโอเล็ต (มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า)

                      หลังจากที่ฉายด้วยแสงอุตร้าไวโอเล็ตแล้วจะนําแผ่นเวเฟอร์ไปทําการล้าง (Develop)เอาส่วนของนํ้ายาไวแสงที่ไม่ต้องการออกไป ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าใช้นํ้ายาไวแสงชนิดบวก (PositiveResist) หรือชนิดลบ (Negative Resist) ถ้าใช้นํ้ายาไวแสงชนิดบวกเมื่อนําไปดีเวลอป(Develop) ส่วนที่ถูกแสงจะถูกกัดออกไป แต่ถ้าเป็นนํ้ายาไวแสงแบบบวกเมื่อนําไป ดีเวลอปส่วนที่ถูกแสงจะยังคงอยู่ ดังรูปที่ 15

struc1-19.gif

                                                (ก)                                                                  (ข)

รูปที่ 15 (ก) Negative resist developed (ข) Positive resist developed

                    4. กระบวนการเอชชิ่ง (Etching)

                          เป็นกระบวนการกัดกร่อนมีทั้งแบบ Wet Etching (ใช้สารเคมีในการกัดกร่อน)และ Dry Etching (ใช้พลาสมา : Plasma) เพื่อทําการลอกชั้นของออกไซด์ในส่วนที่ไม่มีสารไวแสง (Photoresist) ปกคลุมอยู่ ดังรูปที่ 16

struc1-20.gif

รูปที่ 16 แสดงส่วนของแผ่นเวเฟอร์ที่ทําการลอกชั้นของออกไซด์ออกแล้ว

                         หลังจากลอกเอาส่วนของออกไซด์ออกแล้วจะเข้าสู่กระบวนการ Etching อีกครั้งหนึ่งเพื่อกําจัดชั้นของสารไวแสง (Photoresist) ออกไปก็จะเหลือส่วนของซิลิกอนไดออกไซด์ที่ต้องการอยู่บนซับสเตรท ดังรูปที่ 17

struc1-21.gif

รูปที่ 17 แสดงส่วนของซิลิกอนไดออกไซด์ที่อยู่บนซับสเตรท

                          ต่อจากนั้นจะเป็นกระบวนการในการสร้างชั้นของออกไซด์บาง ๆ ปกคลุมผิวหน้าของทั้งหมดโดยใช้กระบวนการเช่นเดียวกับการสร้างชั้นซิลิกอนไดออกไซด์ในตอนแรก โดยนําเอาแผ่นเวเฟอร์ใส่เข้าไปในเตาความร้อนแล้วฉีดพ่นออกซิเจนเข้าไปแต่จะใช้เวลาน้อยกว่ากระบวนการในการสร้างชั้นซิลิกอนไดออกไซด์ในตอนแรก เมื่อผ่านกระบวนการนี้ที่ผิวหน้าของเวเฟอร์จะถูกปกคลุมด้วยชั้นของออกไซด์บาง ๆ โดยมีความหนาประมาณ 1 ใน 100 ส่วนของชั้นออกไซด์ที่สร้างในตอนแรก ซึ่งชั้นออกไซด์บาง ๆ ที่ได้นี้จะทําหน้าที่เป็นฉนวนที่คั่นอยู่ระหว่างขาเกตกับแผ่นซับสเตรท ในกระบวนการสร้าง MOS ทรานซิสเตอร์แสดงดังรูปที่ 18

struc1-22.gif

รูปที่ 18 แสดงชั้นของออกไซด์บาง ๆ ปกคลุมที่ผิวหน้าของเวเฟอร์

                      หลังจากได้ชั้นของออกไซด์บาง ๆ ที่ผิวหน้าของเวฟอร์แล้วในขั้นตอนต่อไปเป็นการสร้างชั้นของซิลิกอนปกคลุมทับบนชั้นของออกไซด์อีกชั้นหนึ่ง โดยการนําเอาเวเฟอร์เข้าสู่เตาความร้อน หลังจากนั้นฉีดพ่นแก๊สไซเลน (Silane : SiH4) เข้าไปในเตาความร้อน แก๊สไซเลนจะแตกตัวแยกออกเป็นซิลิกอนกับไฮโตรเจน ซิลิกอนที่ได้จะตกตะกอนกองอยู่บนผิวหน้าของเวเฟอร์ซึ่งความหนาของชั้นซิลิกอนนี้จะมีความหนาประมาณ 100 เท่าของชั้นเกตออกไซด์ ดังแสดงในรูปที่ 19

struc1-22.gif

รูปที่ 19 แสดงชั้นของซิลิกอนที่เกิดจาก SiH4

                      เมื่อได้ชั้นของซิลิกอนแล้วก็จะนําแผ่นเวเฟอร์เข้าสู่กระบวนการโฟโตลิโธกราฟี (Photolithography) และกระบวนการเอชชิ่ง (Etching) อีกครั้งหนึ่ง ในกระบวนการโฟโตลิโธกราฟี ก็จะเป็นการฉายรังสีอัลตราไวโอเล็ตผ่านโฟโตมาส์ค (Photo Mask) ตกกระทบลงบนผิวหน้าของเวเฟอร์ที่เคลือบด้วยนํ้ายาไวแสง (Photoresist) ซึ่งแผ่นโฟโตมาส์คก็จะทําให้ผิวหน้าของเวเฟอร์มีทั้งส่วนที่ถูกแสงและส่วนที่ไม่ถูกแสงอัลตราไวโอเล็ต จากนั้นนําแผ่นเวเฟอร์ไปเข้าสู่กระบวนการเอชชิ่งเพื่อกัดเซาะเอาส่วนที่ไม่ต้องการออกไปจนได้แผ่นเวเฟอร์ที่มีผิวหน้าดังรูปที่ 20

struc1-23.gif

                                          รูปที่ 20 แสดงผิวหน้าของเวเฟอร์ที่ผ่านกระบวนการโฟโตลิโธกราฟี
                                                      และกระบวนการเอชชิ่งครั้งที่ 2

                   5. กระบวนการโดป (Doping)

                         กระบวนการในการโดปเป็นกระบวนการที่จะกําหนดชนิด (Type) และความนําไฟฟ้า (Conductivity) ของสารกึ่งตัวนํ าให้มีค่าตามต้องการ ซึ่งต้องมีการความคุมชนิดและปริมาณของสารเจือ (Impurity) ว่าต้องการให้สารกึ่งตัวนํานั้นมี สภาพเป็นผู้ให้อิเล็กตรอน(Donor) หรือผู้รับอิเล็กตรอน (Acceptor) โดยถ้าต้องการให้เป็นผู้ให้อิเล็กตรอนก็ทําการเติมฟอสฟอรัส (Phosphorus) หรืออาเซนิค (Arsenic) ถ้าต้องการให้เป็นผู้รับอิเล็กตรอนก็ทําการเติม แกลเลียม (Gallium) หรือ อินเดียม (Indium) กระบวนการในการโดปสามารถทําได้ 2 วิธีได้แก่

                                   1. การแพร่สารเจือ (Diffusion)

                                   2. การยิงอิออน (Ion-Implantation)

                      5.1 การแพร่สารเจือ (Diffusion)

                            กระบวนการในการแพร่สาร (Diffuse) หมายถึงกระบวนการที่สารชนิดหนึ่งที่มีความหนาแน่นสูงถูกนําไปใส่ไว้ในสารอีกชนิดหนึ่งที่มีความหนาแน่นตํ่า สารที่มีความหนาแน่นสูงจะแผ่กระจายออกไป ตัวอย่างเช่นการหยดหมึกลงในนํ้า จะสังเกตว่าเมื่อมีการหยดหมึกลงในนํ้าหมึกจะกระจายตัวออกไปจนทําให้นํ้าเปลี่ยนสีเป็นสีของหมึกจาง ๆ ได้ดังแสดงในรูปที่ 20

struc1-24.gif

รูปที่ 20 แสดงหลักการแพร่กระจายของหมึกในนํ้า

                    จากการศึกษากลไกของการแพร่พบว่า การแพร่ของสารเจือในของแข็งนั้นเป็นไปได้มากขึ้นเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น และมีกลไกการแพร่ของสารเจือเป็น 2 แบบคือ การเข้าไปแทนที่อะตอม และการเข้าไปแทรกตัวอยู่ระหว่างอะตอม

                         1 การแพร่แบบเข้าไปแทนที่

                                วาเลนซ์อิเล็กตรอนของซิลิกอนหรือเยอรมาเนียมมี 4 ตัว และการเกาะเกี่ยวระหว่างอะตอมทํากันด้วยพันธะโควาเลนซ์ (Covalence bond) และเกาะกันเป็นโครงผลึก(Lattice) เมื่อให้พลังงานสูงขึ้นคู่พันธะจะแตกออก อะตอมของสารเจือจะเข้าไปแทนที่ ลักษณะการแทนที่เช่นนี้อะตอมของสารเจือจะต้องมีขนาดใกล้เคียงกับขนาดของอะตอมที่จะถูกแทนที่ซึ่งเป็นกรณีเดียวกับการแพร่ของ โบรอน ฟอสฟอรัส อาเซนิค ในซิลิกอนหรือเยอรมาเนียม เมื่อมีการแทนที่แล้วถ้าหากอะตอมของสารเจือได้รับพลังงานมากพอก็อาจจะหลุดไปและมีการแทนที่ในที่ใหม่ได้เช่นกัน

                           2 การแพร่แบบเข้าไปแทรกตัว

                              พบว่าการแพร่แบบนี้จะเกิดขึ้นกับสารเจือที่มีขนาดของอะตอมใหญ่กว่าอะตอมของสารกึ่งตัวนํามาก เช่นการแพร่ของทองคําในซิลิกอน เป็นต้น

เทคนิคการแพร่สารเจือ

                 จุดประสงค์ของสําคัญของการแพร่สารเจือก็คือการทําให้เกิดอะตอมผู้ให้(Donor) และอะตอมผู้รับ (Acceptor) ขึ้น ซึ่งในกระบวนการของการแพร่สารจะต้องประกอบด้วยการ Deposition การ Drive-In และการ Activation ดังแสดงในรูปที่ 22

ic1-1.gif

รูปที่ 22 แสดงขั้นตอนในการแพร่สารเจือเบื้องต้น

                  จากรูปที่ 22 เป็นหลักการในการแพร่สารเจือเบื้องต้น เพื่อให้เห็นภาพรวมของกระบวนการ จะเห็นว่าแผ่นเวเฟอร์จะถูกเคลือบด้วยสารเจือทั่วทั้งแผ่น (มีการเปิดช่องเพื่อให้สารเจือเข้าไปได้โดยผ่านกระบวนการโฟโตลิโธกราฟี และกระบวนการเอชชิ่งแล้ว) เรียกขั้นตอนนี้ว่าการ Deposition จากนั้นแผ่นเวเฟอร์จะถูกทําให้ร้อนเพื่อให้อะตอมของสารเจือได้แทรกตัวเข้าไปในโมเลกุลของซิลิกอนหรือเยอรมาเนียมในแผ่นเวเฟอร์ เรียกขั้นตอนนี้ว่าการ Drive-Inหลังจากนั้นอะตอมของซิลิกอนหรือเยอรมาเนียมจะถูกแทรกด้วยอะตอมของสารเจือทําให้เกิดอะตอมผู้ให้ (Donor) หรืออะตอมผู้รับ (Acceptor) ก็ขึ้นอยู่กับชนิดของสารเจือ เรียกขั้นตอนนี้ว่า Activation

ic1-2.gif

รูปที่ 23 แสดงการแพร่สารเจือเข้าไปตรงช่องที่ต้องการ

struc1-26.gif

รูปที่ 24 แสดงการแพร่สารเจือ (Diffusion) เกิดเป็นรอยต่อ P-N

                    แหล่งจ่ายสารเจือจะอยู่ในรูปของสารประกอบทั้ง 3 สถานะ คือ ของแข็ง ของเหลว และแก ส รูปแบบการใช้งานก็จะมีความเหมาะสมแตกต่างกันออกไปตามสภาวะ

                          1. การแพร่สารเจือเมื่อแหล่งจ่ายอยู่ในลักษณะของแข็งแหล่งจ่ายสารเจือที่เป็นของแข็ง จะเป็นสารประกอบของโบรอน , ฟอสฟอรัสและอาเซนิค ซึ่งเตาแพร่สารมักจะเป็นแบบ Two-Zone Diffusion Furnace ดังรูปที่ 25

ic1-4.gif

รูปที่ 25 แสดงเตาแพร่สารเจือที่มีแหล่งจ่ายเป็นของแข็ง (Solid Source)

                      จากรูปที่ 25 เตาแพร่สารเจือจะแบ่งออกเป็น 2 ตอน ตอนหลังซึ่งมีแหล่งจ่ายสารเจืออยู่จะมีอุณหภูมิตํ่า ประมาณ 200-400° C แต่ส่วนหน้าซึ่งเป็นตําแหน่งวางเวเฟอร์จะมีอุณหภูมิประมาณ 800-1250 °C แก๊สพาหะจะใช้ทั้งออกซิเจนและไนโตรเจน

                     2. การแพร่สารเจือเมื่อแหล่งจ่ายอยู่ในลักษณะของเหลวโดยทั่วไปแหล่งจ่ายสารเจือจะเป็น Phosphorus Oxychloride (POCl3) และ Boron tribomide (BBr3) ซึ่งมีกระบวนการคล้ายกับการทํา Wet Oxidation คือผ่านแก๊สเฉี่อยลงไปในสารละลาย จากนั้นไอของ BBr3 หรือ POCl3 ก็จะผ่านเข้าไปในท่อควอทช์ ซึ่งมีแผ่นเวเฟอร์อยู่ดังรูปที่ 26 ในทางปฏิบัติสามารถควบคุมความหนาแน่นในการแพร่สารเจือได้โดยการควบคุมอุณหภูมิของแผ่นเวเฟอร์ ซึ่งตัวแปรอื่น ๆ เช่น เวลา อัตราการไหลของแก๊ส ปริมาณออกซิเจน มักจะถูกจํากัดให้มีค่าคงที่เอาไว้ ข้อดีของการแพร่สารเจือแบบนี้คือ สามารถแพร่สารเจือให้มีความหนาแน่นได้สูง ประมาณ 102 Atom/cm3 แต่มีข้อเสียคือ การแพร่ให้มีความหนาแน่นของสารเจือสูง ๆ อาจเกิดความเสียหายของผิวหน้า เนื่องจากโบรมีน และคลอรีนที่เกิดขึ้นเนื่องจากปฏิกิริยาได้

struc1-27.gif

รูปที่ 26 แสดงเตาแพร่สารเจือที่มีแหล่งจ่ายเป็นของเหลว (Liquid Source)

                   3. การแพร่สารเจือเมื่อแหล่งจ่ายอยู่ในลักษณะแก๊ส จะใช้สารประกอบของโบรอน ฟอสฟอรัส และอาเซนิค แสดงดังรูปที่ 26

struc1-28.gif

รูปที่ 27 แสดงเตาแพร่สารเจือที่มีแหล่งจ่ายเป็นแก๊ส (Gas Source)

                  การใช้แหล่งจ่ายสารเจือที่เป็นแก๊สมีข้อได้เปรียบกว่าทั้งสองแบบที่กล่าวมาแล้วมาก เนื่องจากสามารถควบคุมความหนาแน่นของสารเจือได้ง่าย ทั้งยังทํ าให้ใช้งานกับระบบอัตโนมัติได้สะดวกอีกด้วย ทําให้เตาที่ใช้มีขนาดกระทัดรัดลงมา และเป็นแบบ Single-zone Diffusion Furnace และยังได้เปรียบในเรื่องของความสะอาดอีกด้วย แต่ก็มีข้อเสียเนื่องจากแก๊สที่ใช้เป็นแก๊สพิษ ถ้าไม่มีระบบป้องกันที่ดีพอ อาจทําให้เกิดอันตรายต่อผู้ปฏิบัติงานได้

           5.2. การยิงอิออน (Ion-Implantation)

                 การโดปโดยวิธีแพร่สารเจือเป็นวิธีที่ใช้ได้ดีกับวงจรรวมที่มีขนาดไม่หนาแน่นมากนักเช่นวงจรรวมแบบ SSI MSI หรือ LSI แต่ถ้าเป็นวงจรรวมขนาดใหญ่การโดปโดยวิธีการแพร่สารเจือจะทําได้ยากเนื่องจากการควบคุมขอบเขตของการแพร่สารจะกระทําได้ยากขึ้น ดังนั้นจึงได้มีการกระบวนการโดปโดยใช้วิธีการยิงอิออน เนื่องจากสามารถควบคุมให้มีความเที่ยงตรงแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมความลึกของรอยต่อ หรือปริมาณอะตอมของสารเจือ เครื่องยิงอิออนแสดงในรูปที่ 28

ic1-3.gif

รูปที่ 28 แสดงไดอะแกรมการทํางานของ Ion-Implantator

                 อะตอมของสารเจือจะถูกเลือกโดย Analyze magnet หลังจากนั้นก็จะถูกเร่งด้วยสนามไฟฟ้า (Acceleration tube) ผ่านเลนส์แม่เหล็กเข้าสู่ระบบการสแกน (อาจจะสแกนลําอนุภาคหรือเลื่อนแผ่นเวเฟอร์ก็ได้) เพื่อให้ตกกระทบสู่แผ่นเวเฟอร์ปกติแล้วจะใช้ชั้นซิลิกอนไดออกไซด์ (Silicon Dioxide) หนา ๆ หรือสารไวแสง (Photoresist) หนา ๆ เป็นหน้ากากป้องกันการแพร่ในส่วนที่ไม่ต้องการ ความลึกของอนุภาคสารเจือที่จะเข้าไปสู่แผ่นซิลิกอนสามารถที่จะกําหนดได้โดยการปรับความเข้มของสนามไฟฟ้าที่เร่งอนุภาคสารเจือ

struc1-29.gif

รูปที่ 29 แสดงการโดปโดยใช้วิธียิงอิออน (Ion-Implantation)

                  จากรูปที่ 29 อิออนจะถูกยิงเข้าไปที่ผิวหน้าของเวเฟอร์ ส่วนที่ปกคลุมด้วยนํ้ายาไวแสงจะไม่เกิดปฏิกิริยาใด ๆ ส่วนของซิลิกอนซับสเตรทที่เปิดอยู่อิออนจะทําให้เกิดเป็นส่วนของ ซอร์ส (Source) และเดรน (Drain) ขึ้นเมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการ Ion-Implantation แล้วส่วนของสารไวแสง (Photoresist)จะถูกกัดออกโดยใช้กระบวนการ Etching ดังรูปที่ 30 ในขั้นตอนนี้ก็จะได้ มอสทรานซิสเตอร์ที่ประกอบด้วยเกต (Gate) ซอร์ส (Source) และเดรน (Drain)

struc1-30.gif

รูปที่ 30 แสดงมอสทรานซิสเตอร์หลังจากผ่านการโด๊ป

struc1-31.gif

รูปที่ 31 แสดงการยิงอิออนของฟอสฟอรัสเข้าไปทําให้เกิดสารกึ่งตัวนําชนิด N

struc1-32.gif

รูปที่ 32 แสดงการยิงอิออนของโบรอนเข้าไปทําให้เกิดสารกึ่งตัวนําชนิด P

              6. กระบวนการเมทัลไลเซชั่น (Metalization)

                   เมื่อผ่านกระบวนการมาถึงขั้นตอนนี้จะได้ชิ้นส่วนต่าง ๆ ของอุปกรณ์วงจรรวมบนแผ่นเวเฟอร์แต่ส่วนต่าง ๆ ของอุปกรณ์เหล่านั้นยังไม่มีส่วนใดที่ต่อเชื่อมถึงกัน ดังนั้นจึงจําเป็นที่ต้องต่อส่วนต่าง ๆ ของอุปกรณ์เหล่านั้นเข้าด้วยกันตามโครงสร้างที่ได้ออกแบบไว้เพื่อที่จะให้ได้วงจรรวมที่ทํางานตามหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์การเชื่อมต่อส่วนต่าง ๆ ดังกล่าวเข้าด้วยกันจําเป็นต้องอาศัยกระบวนการเมทัลไลเซชั่น (Metalization) เพื่อสร้างรอยสัมผัสโอห์มมิค(Ohmic Contact) โดยใช้ตัวนําไฟฟ้าที่ทําให้รอยสัมผัสที่ค่าความต้านทานตํ่า ทําให้ส่วนต่าง ๆ เชื่อมต่อกันได้อย่างสมบูรณ์

                     ขั้นตอนของกระบวนการเมทัลไลเซชั่น เริ่มจากการสร้างชั้นซิลิกอนไนไตรด์ (Silicon Nitride) ที่มีความหนาปกคลุมผิวหน้าของแผ่นเวเฟอร์ เรียกส่วนนี้ว่า Top Nitride เพื่อทําหน้าที่เป็นฉนวนบนผิวหน้าของแผ่นเวเฟอร์ ป้องกันความชื้น ฝุ่นละออง และรอยขีดข่วนที่อาจเกิดขึ้นกับชั้นของสารกึ่งตัวนําด้านล่าง ดังรูปที่ 33

struc1-33.gif

รูปที่ 33 แสดงการสร้างชั้นซิลิกอนไนไตรด์คลุมผิวหน้าของแผ่นเวเฟอร์

                 ในขั้นตอนต่อไปก็จะเป็นกระบวนการโฟโตลิโธกราฟี โดยใช้โฟโตมาส์ค และกระบวนการเอชชิ่งเพื่อเปิดช่องสําหรับนําโลหะมาสร้างรอยสัมผัสโอห์มมิคต่อส่วนต่าง ๆ ของวงจรบนแผ่นเวเฟอร์ ดังรูปที่ 34

struc1-34.gif

รูปที่ 34 แสดงช่องที่จะใช้สําหรับสร้างรอยสัมผัสโอห์มมิคในกระบวนการเมทัลไลเซชั่น

                  ในขั้นตอนสุดท้ายจะเป็นการสร้างรอยสัมผัสโอห์มมิคโดยใช้โลหะ เช่น อลูมิเนียมมาสร้างเป็นชั้นปกคลุมผิวหน้าของแผ่นเวเฟอร์ จากนั้นก็จะใช้กระบวนการโฟโตลิโธกราฟีพร้อมด้วยโฟโตมาส์ค และกระบวนการเอชชิ่งเพื่อกัดเซาะเอาส่วนของตัวนําในส่วนที่ไม่ต้องการออกไป จะได้มอสทรานซิสเตอร์ที่สมบูรณ์ดังรูปที่ 35

struc1-35.gif

รูปที่ 35 แสดง Metal Contact ต่อจากส่วนของ ซอร์ส เกต และเดรน

struc1-36.gif

รูปที่ 36 แสดงส่วนต่าง ๆ ของ มอสทรานซิสเตอร์ที่สมบูรณ์

struc1-37.gif

รูปที่ 37 แสดงชั้น (Layer) ต่าง ๆ ของแผ่นวงจรรวม

             7. การทดสอบวงจรบนแผ่นเวเฟอร์ ( Wafer Test & Mark)

                 เป็นการทดสอบวงจรบนแผ่นเวเฟอร์ (Wafer Test) และทําเครื่องหมาย (Mark)บนได (Die) เมื่อตรวจพบว่าไดนั้นชํารุดหรือเสียหาย ในกาทดสอบแผ่นเวเฟอร์เป็นการทดสอบคุณสมบัติทางไฟฟ้าแต่ละอย่างว่ามีคุณสมบัติและมีประสิทธิภาพในการทํางานตามที่ต้องการหรือไม่ คุณสมบัติทางไฟฟ้าที่ต้องการทดสอบจะใช้กระบวนการในการทดสอบแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับว่าจะทดสอบคุณสมบัติในด้านใด เมื่อพบว่ามีความผิดพลาดเกิดขึ้นชิ้นส่วนหรือได (Die) นั้นก็จะถูกทําเครื่องหมายไว้

                การทดสอบคุณสมบัติทางไฟฟ้าจะถูกกระทําในหลาย ๆ ส่วนของกระบวนการผลิต ตั้งแต่เริ่มต้นออกแบบ (Design Stage) ในระหว่างกระบวนการสร้างวงจรรวมบนแผ่นเวเฟอร์ (Wafer Fabrication) รวมทั้งทดสอบเมื่อได้ไอซีในรูปแบบที่เป็น Package แล้ว

struc1-38.gif

ตารางที่ 2 แสดงการทดสอบในระหว่างกระบวนการต่าง ๆ

  การทดสอบคุณสมบัติทางไฟฟ้าที่กระทําในระหว่างกระบวนการ Wafer Fabrication ได้แก่

                             - In-line parametric test

                             - Wafer sort

           7.1 In-Line Parametric Test

                   เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Wafer Electrical Test (WET) เป็นการทดสอบคุณสมบัติทางไฟฟ้า เมื่อสร้างชั้นของโลหะชั้นแรกเสร็จเรียบร้อยแล้ว (First Metal Layer Etched) การทดสอบแบบนี้บางครั้งเรียกว่า “DC Test” เนื่องจากมีการป้อนแรงดันไฟฟ้ากระแสตรงเข้าไปโดยการนําโพรปไปสัมผัสกับส่วนที่เป็น Pads สาเหตุที่ต้องทําการทดสอบในลักษณะนี้ก็เพื่อ

                  1. Identify Process Problem เป็นการแยกแยะปัญหาที่เกิดขึ้นในขั้นตอนของWafer Fab. ในเบื้องต้น แทนที่จะทดสอบเมื่อสิ้นสุดกระบวนการ Wafer Fabrication

                   2. Pass/fail Criteria กํ าหนดกฏเกณฑ์ (Criteria) ว่าสมควรจะดําเนินกระบวนการ Wafer Fab. ต่อไปหรือไม่

                   3. Data Collection เป็นการรวบรวมข้อมูลเพื่อดูแนวโน้มในการปรับปรุงกระบวนการ Wafer Fabrication

                   4. Special Test เป็นการทดสอบคุณสมบัติพิเศษตามความต้องการของลูกค้า

                   5. Wafer Level Reliability เป็นการทดสอบความน่าเชื่อถือในระดับเวเฟอร์ เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่ากระบวนการผลิดเป็นไปตามเงื่ อนไขและมีขั้นตอนและกระบวนการที่ถูกต้อง

อุปกรณ์ที่ต้องใช้ในกระบวนการ In-Line Parametric Test

                1. Probe Card Iinterface

                    - เป็นตัวที่ทําหน้าที่ในการติดต่อระหว่างเครื่องทดสอบกับเวเฟอร์ที่ต้องการทดสอบ ลักษณะของ Probe Card มักจะอยู่ในรูปของแผ่นวงจรพิมพ์ (Printed Circuit Board)ที่มีปลายเข็มสําหรับทําหน้าที่เป็นจุดสัมผัสกับเวเฟอร์ส่วนที่ต้องการทดสอบ

struc1-39.gif

รูปที่ 38 แสดง Probe card ในรูปแบบต่าง ๆ

              2. Wafer Positioning

                         - เป็นอุปกรณ์ที่ทําหน้าที่ปรับตําแหน่งให้ปลายเข็มของ Probe Card ตรงกับจุดที่ต้องการทดสอบ โดยสามารถปรับตําแหน่งได้ทั้งในแนวแกน X , Y และ Z

struc1-40.gif

 

รูปที่ 39 แสดงการปรับตําแหน่งของ Probe Card ให้อยู่ในตําแหน่งที่ถูกต้อง

              3. Test Instrument

                     - เป็นอุปกรณ์ที่ทําหน้าที่เป็นแหล่งจ่ายทั้งกระแสและแรงดันให้กับ Probe Card และนอกจากนี้ยังทําหน้าที่เป็นตัวตรวจจับหรือตรวจวัด กระแส แรงดัน ความจุ ที่มีค่าน้อย ๆ ในระดับพิโคแอมป์ (Picoamp) หรือพิโคฟารัด (Picofarad) ได้โดยค่าแรงดัน กระแส ความต้านทาน หรือความจุ ที่วัดได้จะอยู่ ในรูปของสัญญาณแอนะลอก ส่วนของ Test Instrument ก็จะทําการแปลงให้เป็นสัญญาณดิจิตอลเพื่อส่งไปประมวลผลที่เครื่องคอมพิวเตอร์ต่อไป

                4. Computer as Host or Server/Network

                    - เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานเป็นเครื่องทดสอบโดยเฉพาะ ทําหน้าที่ในการประมวลผลสัญญาณที่รับเข้ามาได้และแสดงผลลัพธ์ออกมา โดยเครื่องคอมพิวเตอร์จะมีซอฟท์แวร์ที่ใช้ในการควบคุมตําแหน่งของเวเฟอร์ ควบคุมการรับและส่งสัญญาณที่ Probe Card ในบางระบบ คอมพิวเตอร์ก็อาจต่อร่วมกันเป็นระบบเน็ทเวอร์คก็ได์

 

struc1-41.gif

รูปที่ 40 แสดงบล็อคไดอะแกรมของ Automated Tester System

                7.2 Wafer Sort

                   เป็นการทดสอบเมื่อสิ้นสุดกระบวนการ Wafer Fabrication เป็นการทดสอบได (Die) ทุกได ที่อยู่บนแผ่นเวเฟอร์ว่ามีคุณสมบัติหรือมีฟังก์ชั่นตรงตามที่ต้องการหรือไม่โดยจะทําการทดสอบทุกฟังก์ชั่น สาเหตุของการทํา Wafer Sort ก็คือ

                     1. Chip Functionally

                      - เป็นการทดสอบการทํางานของฟังก์ชั่นทุกฟังก์ชั่นของชิปที่อยู่บนแผ่นเวเฟอร์เพื่อให้แน่ใจว่าชิปทุกชิปที่จะส่งต่อไปยังกระบวนการต่อไปเป็นชิปที่มีคุณสมบัติและมีฟังก์ชั่นการทํางานถูกต้องครบถ้วนตามที่กําหนด

                     2. Chip Sorting

                       - เป็นการแยกแยะชิปที่มีคุณภาพดีโดยพิจารณาจากคุณสมบัติทางด้านความเร็วในการทํางาน (Operating Speed Performance) (ซึ่งกระทําโดยการป้อนแรงดันทดสอบหลาย ๆ ค่าและเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขทางด้านเวลา)

                     3. Fab Yield Response

                        - เป็นการแสดงค่าอัตราส่วนระหว่างจํานวนชิปที่ใช้งานได้ต่อจํานวนชิปทั้งหมดที่ อยู่บนแผ่นเวเฟอร์เพื่อหาประสิ ทธิภาพของกระบวนการผลิตเพื่อเป็นข้อมูลที่ใช้ในการปรับปรุงกระบวนการผลิตต่อไป สูตรที่ใช้ในการคํานวณหาค่า Wafer sort yield ได้แก่

struc1-42.gif

                 4. Test Coverage

                     - การทดสอบแบบนี้ครอบคลุมทุกส่วนภายในอุปกรณ์ที่ทําการทดสอบด้วยค่าใช้จ่ายที่ถูกที่สุด

struc1-43.gif
struc1-44.gif  

 

รูปที่ 41 แสดงไดที่ถูกทําเครื่องหมายซึ่งจะต้องไม่ถูกนํามาใช้งาน

struc1-45.gif

 สรุป

                    ในกระบวนการสร้างวงจรบนแผ่นเวเฟอร์(Wafer Fabrication) เริ่มจากนําแผ่นเวเฟอร์ที่ได้จากกระบวนการเตรียมแผ่น (Wafer Preparation) มาสร้างชั้นออกไซด์โดยใช้กระบวนการออกซิเดชั่น (Oxidation) ซึ่งกระบวนการออกซิเดชั่นมีทั้ง การออกซิเดชั่นแบบแห้ง (Dry Oxidation) ใช้หลักการรวมตัวของอะตอมของออกซิเจนและอะตอมของซิลิกอนในสภาพอุณหภูมิที่สูงภายในเตาความร้อน (Furnace) และการออกซิเดชั่นแบบชื้น (Wet Oxidation) ใช้หลักการรวมตัวของออกซิเจนที่มีอยู่ในไอนํ้าและอะตอมของซิลิกอน หลังจากผ่านกระบวนการออกซิเดชั่นแล้วแผ่นเวเฟอร์จะมีชั้นของซิลิกอนไดออกไซด์เคลือบอยู่จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการโฟโตลิโธกราฟี (Photolithography) เป็นการถ่ายแสงอัลตราไวโอเล็ตผ่านโฟโตมาส์ค ทําให้เกิดส่วนที่ถูกแสงและส่วนที่ไม่ถูกแสงที่แผ่นเวเฟอร์ที่ถูกเคลือบด้วยนํ้ ายาไวแสงจากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการเอชชิ่ง (Etching) เพื่อกัดเซาะเอาส่วนที่ไม่ต้องการจากกระบวนการถ่ายแสงให้ออกไปคงเหลือไว้แต่ส่วนที่ต้องการให้เกิดบนแผ่นเวเฟอร์เท่านั้น หลังจากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการโดป (Doping) เพื่อทําให้เกิดชั้นของสารกึ่งตัวนําบนแผ่นเวเฟอร์กระบวนการโดปสามารถทําได้ 2 วิธีได้แก่ กระบวนการแพร่สารเจือ (Diffusion) และกระบวนการยิงอิออน (Ion Implantation)ซึ่งกระบวนการโดปจะทําให้เกิดชั้นของสารกึ่งตัวนําได้ทั้งชนิด P และชนิด N ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการแพร่สารเจือชนิดไหนเข้าไป หรือยิงอิออนของอะไรเข้าไป เช่นถ้ายิงอิออนของฟอสฟอรัส(Phosphorus) เข้าไปก็จะทําให้เกิดสารกึ่งตัวนําชนิด N แต่ถ้ายิงอิออนของโบรอน (Boron) เข้าไปก็จะทําให้เกิดสารกึ่งตัวนําชนิด P กระบวนการโฟโตลิโธกราฟีกระบวนการเอชชิ่ง และกระบวนการโดป จะถูกทําหลาย ๆ ครั้งจนกว่าจะได้ชั้นของสารกึ่งตัวนําตามที่ต้องการ ในขั้นตอนต่อมาจะเป็นกระบวนการในการเชื่อมโยงส่วนต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เรียกกระบวนการนี้ว่ากระบวนการเมทัลไลเซชั่น เป็นการใช้โลหะตัวนําเชื่อมโยงส่วนต่าง ๆ ของแต่ละเลเยอร์เข้าด้วยกัน ซึ่งต้องใช้กระบวนการโฟโตลิโธกราฟี กระบวนการเอชชิ่ง ช่วยในการสร้างชั้นของโลหะตัวนํานี้ ในขั้นตอนสุดท้ายเป็นขั้นตอนของการทดสอบแผ่นเวเฟอร์ที่ได้ว่ามีได (Die) ที่ใช้ได้และใช้ไม่ได้คือไม่สามารถทํางานได้ตามฟังก์ชั่นที่ได้ออกแบบไว้ว่ามีจํานวนเท่าใด ถ้าพบไดที่ใช้ไม่ได้ก็จะทําเครื่องหมายลงบนไดตัวนั้น

 

 

คณะวิชาช่างไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ สถาบันการอาชีวศึกษาภาคกลาง 3 วิทยาเขตเทคนิคสิงห์บุรีแห่งที่ 1

Webmaster email address; sanong_tou@hotmail.com,sanong_tou@thaimail.com

Tel:036-511232, Fax: 036- 511487